Chris Chuแห่งThe Morning Bendersบอกว่า สิ่งเดียวที่เขาเสียใจจากอัลบัมBig Echoเมื่อปีที่แล้ว คือไม่ได้ใส่เพลง"Oh Annie"ลงไปด้วย และยังบอกว่าอีกว่าแรงบันดาลใจของเพลงนี้มากจากภาพยนตร์ปี1977ของWoody Allenเจ้าของรางวัลออสการ์เรื่อง 'Annie Hall' -- พอทราบอย่างนี้อดที่จะอินไปกับท่อนที่ว่า “Annie oh Annie, how can you go? / I taught you everything you know, you know.” ไม่ได้
25ปีที่แล้ว(!!!) Beastie Boysในวัยคะนองลั่นวาจาไว้ว่า (You Gotta) Fight For Your Right (To Party) ล่วงเลยมีปี2011 พวกเขาจะกลับไปrevistitเหล่าเด็กคะนองในเอ็มวีตัวนั้น...ในหนังสั้นเรื่องFight For Your Right Revisited (กำกับโดย MCA) ที่รวมฮิตดาราฮาๆแทบจะหมดhollywoodรวมทั้งTed Danson(ฮา) -- พูดสั้นๆได้ว่า Beastie Boysกลับมาแล้ว ด้วย40กว่าๆ ผ่านอะไรมาโชกโชน ชนะโรคมะเร็งมาแล้ว ดั่งที่กล่าวเอาไว้ "My rhymes age like wine as I get older" Make Some Noiseเป็นการเปิดตัวการcome backที่จ๊าบใจ(อดีต)วัยรุ่นจริงๆ
การที่เราเติบโตจนถึงวัยเท่ากับพ่อแม่เราตอนพวกท่านให้กำเนิดเรา มันสะท้อนอะไร?มันบอกอะไรกับเรา? Fleet Foxesตั้งคำถามนี้ในประโยคแรกของMontezuma -- "So now I am older than my mother and father / when they had their daughter / now what does that say about me" มันหยุดให้เราคิดอะไรได้มากมายเหลือเกิน รู้สึกราวกับว่ามันคือหลักไมล์ของชีวิตที่ก้าวไปสู่วัยผู้ใหญ่อย่างเต็มตัว คำถามที่ตามมาคือ เรายังจะได้ความรักบริสุทธิ์ดั่ง'แม่มีให้ลูก'อีกหรือ?เมื่อบทบาทของเราควรจะเป็นพ่อแม่เสียเองแล้ว ("Oh how could I dream of such a selfless and true love")
Robin Pecknoldเขียนเนื้อหาได้มีสวยงามเหมือนกวีและมีความหมายลึกซึ้งแบบปรัชญา ทั้งหมดผ่านภาษาเรียบๆธรรมชาติวางบนเมโลดี้ที่ไม่ซับซ้อน เป็นต้นตำรับโฟล์คยุคบุปผาชนแท้ๆ
เขาปลงกับความไม่เที่ยงของชีวิต ที่ไม่ว่าจะยากดีมีจน สุดท้ายก็ต้องตายไปจากไปอย่างเปลือยเปล่าไม่ต่างกับตอนแรกเกิด ("In dearth or in excess / both the slave and the empress / will return to the dirt I guess, naked as when they came") เขาตั้งคำถามกับการมีอยู่จริงของสวรรค์ ("I wonder if I'll see any faces above me or just cracks in the ceiling") และปล่อยวางความมักมากในทรัพย์สินเงินทอง -- แน่นอนว่าไม่ใช่เรื่องง่าย ชีวิตไม่ใช่เรื่องง่าย เขายังคงอยากจะนำสิ่งที่เขาครอบครองลงหลุมไปกับเขา ('...throw them into the tomb with me') ก่อนจะทิ้งท้ายให้คิดว่า ("Unless i have someday / Ran my wandering mind away") -- งดงามเหลือเกิน
The Raceมีความรู้สึกทั้งสองอยู่อบอวลฟุ้งกระจายอุ่นๆราวกับออกจากปลายกัญชาอยู่ ("The World turning, the weed burning. Them haters talking, I keep earning") ...เล่าChillๆถึงการเดินทางมาไกลอย่างโดดเดี่ยวกว่าถึงจุดนี้ การเปลี่ยนไปของผู้คนรอบข้างเมื่อเรามีชื่อเสียง(อารมณ์'พอกูดัง มึงก็โพล่หน้ามานะ') และแม้จะจะผยองในความสำเร็จแต่'no disrespect to the n-ggas before me'
Kate Bushคือหนึ่งในศิลปินหัวก้าวหน้าที่สุดของโลกดนตรี (อัลบัมHounds of Loveในปี1985ของเธอ เปลี่ยนชีวิตการฟังเพลงของผมไปตลอดกาล) เป็นศิลปินที่ผมยกย่องที่สุดคนหนึ่งในฐานะนักฟังเพลง -- ดังนั้นข่าวที่ว่าอัลบัมใหม่ของเธอ(ในรอบหกปี)จะเป็นการ'rework'งานเก่าของตัวเองจากอัลบัมThe Sensual World และ The Red Shoes ไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกว่า ยี้แม่งหากินกับของเก่า เลย ...แต่กลับตื่นเต้นที่จะได้ฟัง
แทร็คแรกที่ถูกปล่อยออกมาคือ Deeper Understanding...เหมาะมากๆ เพราะนี่คือเพลงที่เกี่ยวกับความโดดเดี่ยวของมนุษย์ในโลกที่เทคโนโลยีมีอิทธิพลสูง ดูเนื้อเพลงซะก่อน: "As the people here grow colder, I turn to my computer and spend my evenings with it like a friend."
การแสดงที่น่าจดจำที่สุดในงานBrit Awardที่ผ่านมา(นานแล้ว)...คือการแสดงที่แสนเรียบง่ายของAdeleในเพลง Someone Like Youนี้แหละ มีเพียงตัวเธอและเปียโนตัวเท่านั้น
Someone Like You เป็นเพลงรักๆเศร้าเกี่ยวกับการตัดใจของคนที่เห็นชัดว่ายังตัดใจไม่ได้และอาจจะไม่มีวันตัดใจได้อีกเลย แม้แต่เนื้อเพลงในท่อนฮุคที่ว่า"Nevermind, I'll find someone like you"ในประโยคเองก็มีความขัดแย้งกันอยู่ เปิดหัวว่าไม่แคร์ แต่จบว่ายังหมกหมุ่นอยู่ -- ก่อนจะอ้างคำว่า "Sometimes it lasts in love but sometimes it hurts instead"
อาจจะเป็นแค่อารมณ์ชั่ววูบ...แต่ฟังเพลงนี้เพียงครั้งเดียวก็ทนไม่ไหว ต้องเอามาโพสแล้ว -- ว่ากันตามเนื้อผ้าจริงๆ'Tokyo' เป็นเพลงอินดี้-ป็อป-ร็อค-ป้าวาสนาน่าจะชอบ-ธรรมดาๆ ซึ่งผมแอบเบื่อๆเพลงแนวๆนี้แล้วด้วยซ้ำ แต่ไม้ตายของมันจริงๆที่โดนใจเต็มๆคือ'ซาวน์'ของมันนี่แหละที่หล่อหลอมกีต้าร์อินดี้ที่คุ้นเคย ซินธ์นุ่มๆที่ได้ยินบ่อยๆ ท่อนหุกติดหูที่ไม่ได้เซอร์ไพรซ์อะไร ออกมาเป็นแทร็คที่งดงามจริงๆ จนเกิดความoriginalบางอย่างที่ตราตรึงใจชะมัด -- Cause they're building houses and lights in Tokyo....
Yeah! ร็อคแอนด์โรลล์เว้ย! มาอินดี้ติ๋มๆกันอยู่ได้! Kurt Vileนำริฟท์กีต้าร์หนักๆกลับมาแบบชวนนึกถึงดนตรีเข้มๆแบบ Neil Young หรือ Bruce Springsteen ความพริ้วของกีต้าร์ฟังดูalternativeชะมัด แอบนึกถึงพวกกีต้าร์แบนด์ยุค90s...britๆ -- ช่างเหมาะจริงๆกับคำอย่าง Puppet to the man คือคำกล่าวเหยียดหยามว่าเป็นแค่หุ่นเชิดของผู้มีอำนาจ ...yeah!
ติดใจศิลปินR&Bลึกลับผู้นี้จริงๆ... หลังจากโดนไปเต็มๆกับWhat You Need ตอนนี้ก็ต้องยอมโดนอีกเพลง...Wicked Games มันเป็นเพลงรักอารมณ์เจ็บปวดๆที่แม้จะไม่อ่านเนื้อก็ยังสัมผัสได้ถึงความเจ็บปวดได้ครบถ้วน ...ทั้งจากวิธีร้อง วิธีเค้นเสียง การกระแทกของบีต และ ทางคอร์ดที่มืดหม่น -- พอได้อ่านเนื้อยิ่งเจ็บเข้าไปอีก เต็มไปด้วยคำหยาบที่ขึ้นต้นด้วยตัวFที่ร้องออกจากใจแบบ'กูไม่ไหวแล้ว' ต้องร้อง "Just let me motherfucking love you!" ...โอ้ย