Fleet Foxes: "Helplessness Blues"
from Helplessness Blues (2011)
วินาทีนี้มีความเป็นไปได้ว่าอัลบัมHelplessness Blues จะอยู่ในลิสต์'อัลบัมแห่งปี2011'ของบล็อคนี้ที่อันดับ1...วินาทีนี้มันเป็นอัลบัมที่moveผมได้มากที่สุดในรอบหลายปี --ทำไมนะเหรอ? ..1.)เนื้อเพลงที่งดงามลึกซึ้งบทกวี 2.)ความช่ำชองทางดนตรีในการร้องและเล่นดนตรี 3.)การบันทึกเสียงที่ยอดเยี่ยมผลักดันพลังของเพลงอย่างเต็มที่ 4.)การเรียบเรียงธีม อารมณ์ และเรื่องราวของลำดับเพลงในอัลบัมที่สุดยอด
Helplessness Bluesเพลงชื่อเดียวกับอัลบัมเพลงนี้จริงๆเป็นเพลงแรกของอัลบัมที่ถูกปล่อยออกมา แต่ฟังครั้งแรกๆไม่ได้ชอบเท่าไร เลยไม่ได้อยากพูดถึง แต่พอซ้ำๆ...โอ้ว...กูพลาดไปแล้ว นี่มันมาสเตอร์พีซชัดๆ ลองฟังประโยคแรกของเพลงนี้เสียก่อน:
I was raised up believing"ข้าเติบโตด้วยความเชื่อว่าข้านั้นแตกต่าง ดั่งเกล็ดหิมะที่โดดเด่นออกมาท่ามกลางกองหิมะมากมาย...แต่หลังจากขบคิดครู่หนึ่ง ข้าขอเป็นเพียงแค่ฟันเฟืองดีๆชิ้นนึงในเครื่องกลที่ยิ่งใหญ่ เพื่อรับใช้สิ่งที่อยู่เหนือข้าเสียดีกว่า" -- อีกครั้งที่ปลายปากกาของRobin Pecknoldสามารถcaptureอารมณ์ความสับสนต่อสู้ในจิตใจเชิงอุดมการณ์ได้อย่างยอดเยี่ยม ด้วยนัยยะทาง'สงคราม'ด้วยภาษาอย่าง "What's my name, what's my station" หรือ "serving something beyond me""ที่อาจชวนให้นึกถึงอุดมการณ์'เพื่อชาติ'การเป็นทหารรับคำสั่งจากเบื้องบนดั่งฟันเฟืองเล็กๆที่ขับเคลื่อนปกป้องชาติจากศัตรู ("I don't need to be kind to the armies of night that would do such injustice to you")
I was somehow unique
Like a snowflake distinct among snowflakes
Unique in each way you can see
And now after some thinking
I'd say I'd rather be
A functioning cog in some great machinery
Serving something beyond me
แต่ขณะเดียวกันสามารถโยงเข้ากับอุดมการณ์ของปัจเจกชนทั่วๆไป ที่ครั้งหนึ่งในวัยเยาว์มีความเชื่อและความฝัน แต่วันหนึ่งก็ต้องยอมรับความจริงว่าโลกไม่ได้เป็นอย่างที่เราต้องการ ("Or bow down and be grateful and say "Sure take all that you see" to the men who move only in dimly-lit halls and determine my future for me") บางครั้งทำให้เราสับสน ไม่เข้าใจ และถูกทอดทิ้งอย่างโดดเดี่ยว ("...every thing that I see of the world outside is so inconceivable often I barely can speak") -- งดงามเหลือเกิน
มันอาจเป็นเรื่องที่ถูกเล่าซ้ำๆกับประเด็น'ความจริงvsความฝัน' แต่มันก็ได้ผลทุกครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมันสื่อสารกับคนที่หลงไหลในโลกร็อคแอนด์โรลล์อย่างเราๆท่านๆ ที่ลึกๆอย่างน้อยครั้งหนึ่งเชื่อว่า เราพิเศษ และเปลี่ยนแปลงโลกได้ และหลายๆครั้งก็พบกับเหตุการณ์ที่ทำให้สำนึกว่ามันไม่จริงแม้แต่น้อย
หรือสุดท้ายชีวิตก็คือการทำสิ่งที่มีอยู่ให้ดีที่สุด... ("If I had an orchard / I'd work till I'm raw / If i had an orchard / I'd work till I'm sore / And you would wait tables / And soon run the store")