28 February 2011
TRACK | Kanye West: "All of the Lights" (2010)
Kanye West: "All of the Lights"
[featuring Alicia Keys, John Legend, The-Dream, Fergie, Kid Cudi,
Elton John, Ryan Leslie, Charlie Wilson, Tony Williams, Elly Jackson, and Rihanna]
from My Beautiful Dark Twisted Fantasy (2010)
All of the Lightsเป็นเพลงhiphopที่แสนepicโอ่อ่าอลังการ บิ้วอารมณ์ด้วยกองทัพเคลื่อนเป่า กระหน่ำราวกับฉากไคล์แมกซ์ของหนังดราม่าสู้ชีวิต ซึ่งก็ไม่ผิดนัก... อีกครั้งที่Kanye Westแสดงฝีมือการเขียนเนื้อเชิงเล่าเรื่องชั้นเยี่ยม -- 'Light'ในเพลงนี้เป็นสัญลักษณ์แห่งชีวิตทั้งด้านมืดและสว่างได้อย่างลึกซึ้ง ในวรรคนึงมันคือไฟที่สาดส่องในท้องถนนราตรีในโลกใต้ดินผิดกฏหมาย(Kanye ใช้คำเก๋ๆว่า 'Ghetto University') ...ในอีกวรรคนึงมันเป็นแสงไฟของรถตำรวจที่สาดส่องเข้ามาทำลายชีวิตของตัวละครในเพลง ในจบลงในคุก และทำลายโอกาสที่ได้จะได้พบลูกสาว -- ในบางวรรคมันทำหน้าที่ลึกซึ้งกว่านั้น ...เหมือนแสงแห่งความหวังเล็กๆของคนชีวิตเส็งเคร็งที่สูญเสียทุกอย่าง -- ในบางวรรค มันเป็นแสงแห่งความจริง ที่เขาอยากจะฉายลงมาที่ตัวเอง และบอกกับโลกว่า 'ดูข้าซิ...ดูตัวตนจริงๆของข้า!' -- ยอดเยี่ยม...ยอดเยี่ยม
27 February 2011
TRACK | Jamie xx: "Far Nearer" (2011)
Jamie xx: "Far Nearer"
from Upcoming Single (2011)
อ่า...นายJamie xx สมาชิกวงเจ้าของรางวัลMercury Prize...ผู้เคยร่ายมนต์ให้กับเพลงของAdele และ Gil Scott-Heronกลายเป็นแทร็คเทพมาแล้ว ...เอาอีกแล้ว! Far Nearerคือประสบการณ์ทางดนตรีเต้นรำความยาวกว่า8นาทีที่รื่นรมณ์เหลือเกิน อีกก้าวหนึ่งของดนตรีdubstep (ซึ่งจะว่าไปปี2011นี้...แนวดนตรีนี้ได้เดินทางมาไกลเหลือเกิน) -- ลายเซ็นเดิมๆของ Jamie xxปรากฏให้เห็นไปทั่วในFar Nearer เริ่มจากกลอง'นิ้วจิ้มปุ่ม'ที่กระแจกโจ๊ะๆชวนโยกยึกยักไปตลอดเพลง การวนลูปเสียงร้องกลิ่นR&Bที่ถูกบิดเบี้ยวจนผิดรูป ประดับประดาด้วยเมโลดี้น้อยๆงามๆminimalๆ -- พร้อมแล้วก็จงเดินทางสู่8นาทีบนฟลอร์เต้นรำของท่าน ณ.บัดนี้
26 February 2011
TRACK | Tyler The Creator: "Yonkers" (2011)
Tyler The Creator: "Yonkers"
from Goblin (2011)
หลังจากแจ้งเกิดอย่างถล่มทลายในรายการของJimmy Fallonไปไม่นาน เพลงแรกจากอัลบัมใหม่ของTyler The Creatorก็ถูกปล่อยออกมาพร้อมวีดีโอขาวดำจ๊าบๆ...เพลงนี้ชื่อ Yonkers -- Yonkersมีบีตที่โคตรเจ็บ เบสก้อนเบ้อเริ้มกระแทกหูท่านทุกๆสองวิ เสียงวิ๊ดๆกวนหลอนประสาทท่านไปตลอดเป็นระยะๆ แต่ไม่ได้น่าเบื่อจำเจไปซะทีเดียว มันถูกลดทอนด้วยเปียโนกึ่มๆ และเสียงทุ้มโหดๆที่บ่น 'Golf Wang...Wolf Gang'
ส่วนเนื้อร้อง...โอยแสบมาก มีทั้งด่าตรงๆ ด่าอ้อมๆ ด่ากำกวม ด่าเป็นนัยยะ (อ่่านเนื้อเต็มๆที่นี่) -- ประโยคแรกก็เกรียนตัวเองด้วยคำว่า"I'm a fuckin' walkin' paradox, no I'm not" -- กัดJesus กระทบประเด็น V Tech / Columbine ...bowlin', ขู่จะฆ่า Bruno Mars(ฮา) -- ด่าเด็กแนวว่า กูจะเสียบมึงด้วยPitchfork (เก็ตไหม?--ฮา) รีบๆรู้จักชื่อนี้ไว้ซะ ...ลื่นจริงๆ เจ็บจริงๆ
TRACK | The Sandwitches: "Joe Says" + "Lightfoot" (2011)
The Sandwitches: "Joe Says" + "Lightfoot"
from Mrs. Jones’ Cookies (2011)
The Sandwitchesเป็นวงgarage rockสามชิ้นหญิงล้วนที่ใช้สำเนียงกีต้าร์+เบส+กลองแบบดิบๆง่ายๆหยาบๆ...แต่ที่เด็ดคือ พวกเขาเอามันไปผสมผสานกับการเรียบเรียงเสียงประสานที่ได้อารมณ์ถวิลหาบาดใจ ไม่ว่าจะเสียงร้อง ไม่ว่าจากเครื่องสายเบาๆ เครื่องเป่านิ่มๆ การกดคีย์บอร์ดเบาๆ -- มันมีความก้องกังวาลที่ชวนนึกถึงงานดนตรีในโบสถ์ ...บิ้วบรรยากาศหนาว...โดดเดี่ยวได้ดีแท้ -- อาจจะเรียกได้ว่าเป็นงานที่ได้เสน่ห์แบบวงGirl Groupยุค60s แต่ในเวอร์ชั่นที่มีแต่อารมณ์เหงาๆซีดๆหม่นๆ แม้คอร์ดกีต้าร์จะสดใสเพียงไหน ก็จะอดหดหู่ในใจลึกๆไม่ได้ กลายเป็นอารมณ์ขันdarkๆที่ยิ่งทำให้หดหู่พิลึกๆหนักขึ้นไปอีก
mp3:: The Sandwitches :: Joe Says (via)
mp3:: The Sandwitches :: Lightfoot (via)
TRACK | Val-d'Isère: "Pinpoint" (2011)
Val-d'Isère: "Pinpoint"
from Upcoming Debut Ep (2011)
เพลงPinpoint อาจถูกจัดไปรวมอยู่ในกระแส'retroยุค80s'ที่กำลังบูมในโลกดนตรีนอกกระแสหลายๆปีหลังได้ง่ายๆ แต่อย่าเพิ่งเหมาว่าพวกเขาเป็นแค่วง'retroๆ'ดาดๆวงหนึ่ง -- Pinpointใช้ซินธ์ซาวน์เก๋ๆ80sๆ บวกการเดินเบสอารมณ์อิเล็กโทรนิคป็อปหัวก้าวหน้านิดๆ...เท่ห์ๆ มีลูกกลองที่jazzyๆfuzzyๆโคตรรัวโคตรเร่ง มันส์ในอารมณ์แบบมึนๆเมาๆดี ...ซึ่งสวนทางเสียงร้องลอยๆหลงๆหลุดๆนึกถึงวงอย่างBlonde Redheadนิดหน่อย ...รวมๆกันกลายแทร็คที่trippyมากๆ
อย่างไรก็ดี...ยังไม่รู้ข้อมูลอะไรมาเกี่ยวกับวงๆนี้ เพราะเห็นออกมาแค่เพลงเดียว หวังว่าจะมีEPๆจ๊าบๆซักตัวออกมาภายในปีนี้ครับ
mp3:: Val-d'Isère: "Pinpoint" (via)
24 February 2011
TRACK | Nicolas Jaar: "Colomb" (2011)
Nicolas Jaar: "Colomb"
from Space Is Only Noise (2011)
ขณะนี้เป็นเวลาตีสอง... ผมหมุนipodฟังอัลบัมSpace Is Only Noiseที่โหลดมา(อย่างผิดกฏหมาย)หลังจากได้ยินได้อ่านคำชมเชยที่ว่า'อัลบัมนี้ชิวโคตร'จากหลายๆแหล่ง ไม่เคยมีเวลาฟังเต็มๆซักที...ก็ซัดซะ -- โอ้ย...ชิวมาก ยิ่งผมเป็นคนที่หลงไหลศาสตร์แห่งการ'กระทำชำเราเสียงมนุษย์ให้บิดเบี้ยวด้วยคอมพิวเตอร์'เพลงที่สองของอัลบัมเพลงนี้บำเรอผมได้อย่างดีเยี่ยม นึกถึงงานของJames Blakeที่โดนลดความเป็นR&Bและเพิ่มความเป็นดนตรีHouseและเสน่ห์แบบชิวๆผ่อนคลายๆเข้าไป ใส่บรรยากาศของอวกาศเข้าไป จินตนาการบีตminimalๆย่ำช้าๆผ่านม่านบรรยากาศของเสียงสังเคราะห์ฟุ้งๆ ประดับด้วยเสียงบิดเบี้ยวของมนุษย์ที่ถูกหั่นตัดแปะอย่างมีชั้นเชิง ...ชิวมากๆ
ปล. ไหนๆก็ไหนๆ แถมอีกเพลง Nicolas Jarr: "I Got A Woman"
21 February 2011
PLAYLIST72
Panda Bear: "Last Night at the Jetty" (via)
James Blake: "A Case of You (Joni Mitchell Cover)"
Micachu & The Shapes – Everything
Dirty Beaches: "Lord Knows Best"(via)
Dirty Beaches: "True Blue"
The Vacant Lots: "Confusion" (via)
Jessy Bulbo - Telememe (via)
Monument - Diamond Age
Otis Heat – Everybody Loves Me the Same Way (via)
Norton – Two Points
Vivian Girls - I Heard You Say
The Strokes - Under Cover Of Darkness
Natural Child- Dogbite (via)
Das Racist: "Swate [ft. Lakutis]" (via)
Adele - Someone Like You
20 February 2011
LIVE | Jamie Woon: "Lady Luck (Al Fresco)" (Live on a canoe in Cambodia)
Jamie Woon: "Lady Luck (Al Fresco)"
from upcoming album 'Mirrorwriting' (2011)
[Live on a canoe in Cambodia, 2011]
ไม่รู้จะบรรยายอะไรดี... Jamie Woon(หนึ่งในsound of 2011 โดย BBC) ศิลปินผู้ผสมผสานดนตรีอิเล็คทรอนิคและจิตวิญญาณดนตรีsoulและR&Bอย่างเจ็บจิ๊ดจัดจ้าน ที่เราเคยได้ยินเพลงNight Airไปไม่นานนี้ กำลังนั่งอยู่บนเรือที่ล่องไปในแม่น้ำที่กัมพูชา เราจะได้เห็นเขาในสภาพปราศจากเครื่องดนตรีใดๆทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเครื่องดนตรีแท้ๆหรือดนตรีสังเคราะห์ มีแต่เสียงambientป่าๆสไตล์หนังอภิชาติพงศ์ และเสียงร้องลูกคอทองคำของเขาเท่านั้น -- ต้องฟัง ต้องดู exoticไหมละ?
ปล สตูดิโอเวอร์ชั่นของเพลงนี้ สามารถฟังได้ที่นี่
19 February 2011
LIVE | PJ Harvey Live From La Maroquinerie (2011)
PJ Harvey performed Let England Shake in its entirety
[Live From La Maroquinerie, 2011]
ผมหวังอย่างยิ่งว่า Let England Shakeจะเป็นจุดเริ่มต้นของPJ Harveyยุคใหม่ ที่จะสร้างสรรค์งานดนตรีดีๆออกมาประดับวงการดนตรีไปอีกนานๆ แบบที่PJ Harveyเคยทำไว้ในยุค90sอย่างสมบูรณ์ในฐานะศิลปินร็อคเท่ห์ๆ ด้วยทัศนคติร็อคแอนด์โรลล์แบบคนหนุ่มสาว -- วันนี้PJ Harvey วัย40 เป็นศิลปินรุ่นเก๋าที่ยังทำงานโคตรเยี่ยม ขยับขยายขอบเขตของดนตรีออกมาจากสิ่งซ้ำๆที่เธอเคยทำได้อย่างสมบูรณ์เฉียบขาด สร้างสรรค์งานดนตรีที่สุขมนุ่มลึก แต่ยังคงจิตวิญญาณเกรี้ยวกราดแบบPJ Harveyได้อย่างดี
หวังว่าวีดีโอการแสดงสดที่Parisด้านล่าง จะโน้มน้าวให้พวกท่านบางคนที่อาจจะไม่เคยรู้จักPJ Harvey หรืออาจจะ'ห่างๆ'กับงานของเธอไปตั้งแต่หมดยุค90sหรือ00s ลองฟังและดูการแสดงสดLet England Shakeทั้งอัลบัม...ทุกเพลงดู จะได้เห็นงานคุณภาพๆจากฝีมือของศิลปินประสบการณ์สูงที่อ่านขาดทางดนตรี
ปล ดูแยกเป็นเพลงๆได้ที่dailymotion หรือดูยาว70กว่านาทีได้ที่arte.fr
TRACK | Jonny Greenwood: "Don't Read What Hasn't Been Baptized by Time" (2010)
Jonny Greenwood: "Don't Read What Hasn't Been Baptized by Time"
aka "Toki no senrei wo ukete inai mono wo yomuna"
aka '時の洗礼を受けていないものを読むな'
from Norwegian Wood OST (2010)
Norwegian Woodเป็นภาพยนตร์ที่สร้างจากวรรณกรรมยอดฮิต ที่คนcoolๆเขาอ่านกัน -- ผมได้มีโอกาสชมภาพยนตร์เรื่องนี้ไปแล้ว ประทับใจกับความงดงามทั้งภาพ เรื่องราว รวมถึงเสียงดนตรีฝีมือของสมาชิกวงRadioheadผู้นี้ -- โดยชื่อเรื่องมาจากบทเพลงคลาสสิกของThe Beatles ซึ่งก็ถูกเปิดในend creditด้วย
Norwegian Woodเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับ ความทรงจำ ความรัก การสูญเสีย และการเติบโตสู่วัยผู้ใหญ่ มันเกิดขึ้นในปลายยุค60sในโตเกียว ซึ่งเหตุการณ์ในหนังถูกปฏิบัติดั่งเป็นการถวิลหาความทรงจำ เป็นอดีตที่เราระลึกถึง ไม่ใช่หนังperiod -- ผมจึงประทับในเพลงนี้ของJonny Greenwoodซึ่งถูกใช้บ่อยๆในหนัง...ที่ไม่ได้ทำตัวเป็นซาวน์แทร็คแห่งหนุ่มสาว60s แต่เป็นคล้ายความฝัน การเก็บเกี่ยวเรียงร้อยสิ่งที่ค้างคาอยู่ในใจ เหมือนเสียงกีต้าร์ถูกเกาไปอย่างเพราะพริ้ง แต่รู้ถึงได้ถึงเสน่ห์ของการด้นสดไหลๆไป ไร้ยุคสมัย ไร้กาลเวลา
18 February 2011
TRACK | Radiohead: "Lotus Flower" (2011)
Radiohead: "Lotus Flower"
from The King of Limbs (2011)
อัลบัมล่าสุดของRadioheadออกแล้ว ผมเชื่อพวกท่านรู้วิธีหามันมาฟังกันได้ และLotus Flowerคือเพลง/วีดีโอตัวแรกที่ถูกปล่อยออกมา -- สำหรับคนที่ติดตามRadioheadมาตั้งแต่หลังKid Aเป็นต้นมา ผมเชื่อว่าพวกท่าน'จับทางได้แล้วละ' ว่า'ซาวน์'มาน่าจะออกมาประมานไหน บีตกลองซ้ำๆแต่เก๋แล้วมีลูกเล่นเป็นระยะๆ เสียงเบสเดินดุ่มๆไม่หยุดทั้งเพลง เสียงร้องเอื้อนๆเอื่อยๆชวนโยกหัวไปมา ร่องรอยของซาวน์ที่บูดบี้จากการแทรกแซงของคอมพิวเตอร์ปรากฏแบบแนบเนียนๆ ความแน่นแบบหลวมๆพอดีๆของlayerดนตรี ...บอกตรงๆคือ ผมคาดหวังอะไรไว้ ก็ได้ใกล้เคียงทีเดียว
แต่ถึงกระนั้น...การที่Radiohead ได้'edudate'พวกเราให้ช่ำชองกับซาวน์เหล่านี้ ล่วงหน้ายุคสมัยมาเป็นทศวรรษ จนเผลอคิดไปว่านี่เป็นเพียงก้าวเล็กๆ(เทียบกับก้าวระหว่าง The Bend และ OK Computer) ถือว่าเป็นหลักฐานถึงความล้ำสมัยเหี้ยๆของวงดนตรีวงนี้ -- Lotus Flower เสมือนบทแรกของหนังสือภาคต่อที่ติดตามอ่านมาตั้งแต่สิบกว่าปีที่แล้ว ยังไงก็จะอ่าน!ดังนั้น ผมจะใช้เวลาสุดสัปดาห์นี้กับอัลบัมนี้เต็มๆละครับ
ปล. เต้นเก๋าดี
LIVE | Tyler The Creator: "Sandwiches (ft. Hodgy Beats)" (Live On Jimmy Fallon)
Tyler The Creator: "Sandwiches (ft. Hodgy Beats)"
Originally from 'Sandwiches' (2010)
[Live On Jimmy Fallon, 2011]
เป็นความรู้สึกที่ดีจริงๆ ที่ได้เห็นศิลปินหน้าใหม่แจ้งเกิดแบบตูมๆทางรายการโทรทัศน์ หลังจากแบบติดตามเงียบๆมาตั้งแต่ปี2010 ในที่สุดกลุ่มศิลปินฮิปฮอปนาม'OFWGKTA' หรือเรียกสั้นๆว่า Odd Future ซึ่งเป็นการร่วมตัวของคนอายุไม่ถึง20จากLA ที่ไม่กลัวที่จะแสดงความเกรี้ยวกราดอย่างไร้ความรับผิดชอบเยี่ยงเด็กวัยรุ่นกากๆ พวกเขาสบถคำหยาบคายและคำสถุนๆอย่างสะใจ เขาเหยียดผิว ดูถูกผู้หญิง ดูถูกเกย์ ด่าสังคม ด่าการเมือง ด่าแฟนเพลงตัวเอง และด่าบล็อคเกอร์กระจอกๆที่ชอบเขียนเชียร์พวกเขา(อย่างบล็อคนี้) บางทีก็ด่าพ่อล่อแม่กันเองในกลุ่ม รวมทั้งด่าตัวเองด้วย ทั้งหมดเต็มไปด้วยความสะใจ อารมณ์แบบมันส์ๆ สะท้อนความพุ่งพล่านของฮอร์โมน กัดจิกความเน่าของสังคมด้วยทัศนคติ'กูไม่แคร์'
คลิปด้านล่างเป็นการแสดงสดทางโทรทัศน์ครั้งแรกของกลุ่ม นำโดย Tyler The Creator และ Hodgy Beats ที่วิ่งพล่านอาละวาดไปทั่วเวที ออกลายเกรียนตั้งแต่ต้นจนจบแบบไม่กลัวเกรง ถือว่าข้าแน่ ...สุดท้าย Mos Defถึงกับต้องโพล่ออกมาซูฮก หลังจากวันนี้เป็นต้นไป พวกเขาไม่ใช่ศิลปินโนเนมอีกแล้ว ปี2011จะเป็นปีของพวกเขา
Labels:
Hodgy Beats,
Live Session,
OFWGKTA,
Tyler the Creator
TRACK | The Streets: "Puzzled by People (Zoo Kid Remix)" (2011)
The Streets: "Puzzled by People (Zoo Kid Remix)"
from free download (2011)
the original version is from Computers and Blues (2011)
น่าจะยังจำไอ้หนุ่มZoo Kidกันได้ หลังจากแนะนำเพลงOut Getting Ribsไปไม่นานนี้ เขากลับพร้อมฝีมือรีมิกซ์ผลงานต้นฉบับของThe Streetsบริทิชแร็ปเปอร์ตัวเก๋า ผู้เคยเป็นศิลปินโปรดของหลายๆคนในช่วงต้น-กลางยุค00s ปีนี้เขาจะกลับมาพร้อมอัลบัม ซึ่งเท่าที่ดูจาก Puzzled By Peopleแล้ว...มีความหวังว่าจะเป็นอัลบัมที่น่าสนใจ ดูการจากใช้คำเจ๋งๆอย่าง "Love isn't easy; you can't google the solution" วางบนจังหวะเนิ่บๆกึ่มๆชิวๆ...เท่ห์ชะมัด ทั้งคนร้อง คนแร็ป และ คนรีมิกซ์ (ฟังเวอร์ชั่นต้นฉบับที่นี่ เจ๋งไม่แพ้กัน)
mp3:: The Streets: "Puzzled by People (Zoo Kid Remix)" (via)
17 February 2011
TRACK | Jessie Ware & Sampha: "Valentine" (2011)
Jessie Ware & Sampha: "Valentine"
from Valentine 7" (2011)
เมื่อวันวาเลนไทน์ที่ผ่านมา ศิลปินนาม Jessie Wareและ Samphaปล่อยมิวสิควีดีโอของเพลงชื่อValentineออกมา เลือกปล่อยได้ถูกวันสุดๆ ...เฮ้ยเพลงเพราะดีนะ -- นึกถึงซาวน์ที่อยู่กึ่งกลางระหว่างBjorkชุดHomogenic และ The Postal Service(กรุ๊งกริ๊งนัวเนียด้วยเสียงสังเคราะห์บางๆลอยๆ) แต่ใช้นักร้องสไตล์R&Bๆ ซึ่งJessieและSamphaที่ผลัดกันร้องคนละท่อนก่อนค่อยๆร้องแจมกันไปมา ก็ทำหน้าที่ปั้นแต่งเพลงนี้ออกมาได้ยอดเยี่ยม แม้จะสั้นไปนิด แต่เหงาเศร้า...แต่หวานละมุนกลมกล่อมดีแท้
Update: ดูวีดีโอเล่นสดที่นี่
Labels:
Jessie Ware,
Jessie Ware and Sampha,
Sampha,
Track Reviews
16 February 2011
LIVE | Women: "Can't You See" & "Drag Open" & "Eyesore" (2011)
Women: "Can't You See" & "Drag Open" & "Eyesore"
originally from 'Public Strain' (2010)
[live at Pitchfork.tv, 2011]
ในคลิปเหล่านี้ ท่านจะได้ชมวงWomenเล่นสดในโกดังร้าง ถ่ายทำเป็นหนังขาวดำ จัดแสงคอนทราสสูงๆ ตัดต่อด้วยเทคนิคเท่ห์ๆ...ไม่ว่าจะการซ้อนไปมาของภาพ การเหวี่ยงของกล้อง หลอดไฟที่แกว่งไปมา ความไม่แน่นอนของความมืด/สว่าง การตัดสลับภาพเศษขยะ... กองอิฐ ...เครื่องจักร...ผนัง...หลอดไฟ เหล่าสิ่งแวดล้อมในโกดังร้างหลอนๆแห่งนี้ -- นี่แหละคือภาพที่เหมาะที่สุด ที่จะถ่ายทอดดนตรีที่แสนรกรุงรัง จากกีต้าร์ที่หยาบกร้าน noiseโหยหวนจากเสียงแตกพร่านของdistortionและreverb ที่ฟังๆไปก็คล้ายเสียงnoiseของเครื่องจักรโรงงาน -- เพิ่มความเท่ห์ของคลิปนี้ด้วยstoryกำกวมๆของตัวละครหญิงลึกลับที่ถือไฟฉาย'แอบเข้ามาชม'การเล่นสดครั้งนี้
15 February 2011
PLAYLIST71
The Streets: "Puzzled by People (Zoo Kid Remix)" (via) ♥♥
Creep - Days (Ft. Romy Madley Croft) ♥
Holy Ghost! - Do It Again (via)
TECLA – Rollercoasters In Woods (Brothertiger Remix) (via) ♥
The Go! Team: "Apollo Throwdown (Star Slinger Remix)" (via) ♥
Hard Mix :: Now Her (via) ♥
Toro Y Moi - New Beat ♥
James Pants: "Alone" (via) ♥
Ghostface Killah - Together Baby ♥
Strange Talk - Climbing Walls
Karl X Johan – Fantasies (via)
DyE - Fantasy
Mount Pleasant - Florida (via)
Tim Hecker: "The Piano Drop" (via)
Creep - Days (Soul Clap Remix)
Labels:
Brothertiger,
Creep,
Ghostface Killah,
Hard Mix,
James Pants,
playlist,
Tecla,
The Go Team,
The Streets,
Toro Y Moi,
Zoo Kid
14 February 2011
NEWS | Arcade Fire Win the Album of the Year Grammy
พิชิต...Eminem, Lady Gaga, Katy Perry, Lady Antebellum ...หรือนี่คือชัยชนะของดนตรีอินดี้? หรือถ้าเราcoolจริงเราต้องตอบว่า "เหอะ...รางวัลแกรมมี่เป็นรางวัลmainstreamทุนนิยม ไม่มีผลต่อการบูชาArcade Fireของข้าหรอก!"...หรือเปล่า?
ช่างเหอะ! นี่ไม่ใช่เวลามาเก็ก...นี่เป็นเรื่องน่ายินดี! ดั่งที่Kanye Westกล่าวไว้ที่twitterของเขาหลังการประกาศผล "There is hope!!! I feel like we all won when something like this happens! FUCKING AWESOME!" -- พูดได้ดี...พูดได้ดี (อ่านข่าวต่อที่นี่)
ไม่ว่าจะชอบอัลบัมThe Suburbsหรือไม่(ผมก็ถือว่าชอบนะ มีเพลงดีๆหลายเพลงเลย) หรือเบื่อกระแสชาบูArcade Fireของโลกคนฟังอินดี้ชาวไทยหลังยุค'post-ป้าวาสนา-2007' จนรู้สึกว่า Arcade Fireเป็นชื่อที่คนพร้อมจะชอบก่อนที่จะชอบจริงๆด้วยซ้ำ แต่กระนั้น!เมื่อถอยออกมามองในโลกความจริง มองในมุมมองของคนฟังเพลงกระแสหลัก(ซึ่งเป็นคนหมู่มากในโลก และมีพลังในการกำหนดทิศทางธุรกิจดนตรีมากขึ้นเรื่อยๆ) เชื่อหรือไม่ว่า...วงระดับโลกในสายตาคนอย่างเราๆอย่างArcade Fire ก็เป็นแค่วงนอกกระแสเท่านั้น (ไม่เชื่อลองดูเว็ปนี้ดู ต่อด้วย เว็ปนี้...ฮามาก) ดังนั้น...นี่เป็นข่าวน่ายินดี มันเป็นเหตุการณ์เขย่าวงการเพลงได้ ในระยะยาวอาจจะไม่มีผลอะไร แต่ณ.วันนี้มันทำให้โลกดนตรีกระเทือนได้เล็กๆและเราผู้ติดตามวงอินดี้โนเนมจากแคนาดาวงนี้มาตั้งแต่ทศวรรษที่แล้ว ได้มีโอกาสอยู่ร่วมสัมผัสเหตุการณ์นี้ น่ายินดีไหมละ?
TRACK | Jens Lekman: "The End of the World Is Bigger Than Love" (2010)
Jens Lekman: "The End of the World Is Bigger Than Love"
from 'free download' (2010)
เนื่องในวันแห่งความรัก ผมรู้สึกราวกับเป็นหน้าที่ที่ต้องโพสเพลงนี้ที่Jens Lekmanศิลปินสุดละมุนจากสวีเดนลั่นวาจาไว้ -- 'อวสานของโลกนั้นยิ่งใหญ่กว่าความรักนัก' เพื่อเตือนใจพวกท่านว่า ปัญหาที่เราว่าใหญ่โตนั้น โลกที่กว้างใหญ่และแสนเปราะบางใบนี้ หาได้สนใจห่าอะไรกับปัญหาน้ำเน่าของท่านเลย
Jens Lekmanเล่าให้ฟังว่า เขาได้แรงบันดาลใจเพลงนี้ ขณะที่ไปถ่ายรายการทีวีที่ Washington DC ในคืนประกาศผลเลือกตั้งปี2008 ตลอดเวลาที่เขายิ้มแย้มกับพิธีกรรายการ เล่นมุขตลกสนุกสนาน ...ในใจเขานั้นกำลังจมทุกข์เพราะการอกหัก -- ไม่ช้าผลเลือกตั้งถูกประกาศ ผู้คนออกมาเฉลิมฉลองตามท้องถนนให้กับชัยชนะของประธานธิบดีคนใหม่ Jens Lekmanบอกว่า เขาสัมผัสได้ถึงการเป็นส่วนหนึ่งในอะไรที่ยิ่งใหญ่และสำคัญกว่านัก จนปัญหาของเขาดูเป็นเรื่องเล็กไปทันที ...เขาเก็บความรู้สึกนี้ไว้แล้วนำไปเขียนเป็นเพลงนี้
นั่นแหละ...โอเค๊? Happy Valentine's Day ทุกท่าน : )
13 February 2011
TRACK | Panda Bear: "Last Night at the Jetty" (2011)
Panda Bear: "Last Night at the Jetty"
from Tomboy (2011)
อีกหนึ่งเพลงที่ถูกปล่อยมาเรียกน้ำย่อย หลังจากYou Can Count On Meเมื่อปีที่แล้ว จากอัลบัมที่หลายคนรอคอยTomboy... งานแรกหลังจากประสบความสำเร็จถล่มถลายทั้งคำวิจารณ์และชื่อเสียง จากอัลบัม Person Pitch ในปี 2007 และงานร่วมกับวงAnimal Collectiveของเขา ที่ชื่อ Merriweather Post Pavilion ในปี 2009
ความรู้สึกหลังจากฟัง Last Night at The Jetty คือ... นี่เรายังเรียกงานของPanda Bearว่าเป็น Experimental ได้อีกหรือ? เพราะมันโครงสร้างเพลงป็อปที่จับต้องได้ดีๆนี่เอง นึกถึงพวกเพลงยุค80sๆโรแมนติกๆอย่างพวก Brian Ferry, Kate Bush, Peter Gabriel...แต่ใช้เสียงร้องและlayerแห่งเสียงแบบ The Beach Boys แทน ใช้ความหนืดของคอร์ดกีต้าร์ที่ขยับๆหยุดๆ ไปกับกลอง ในการสร้างท่อนส่ง ท่อนฮุค ที่เก๋ๆไซคีเดลิกดี-- ถึงจะเป็นงานที่ฟังง่ายขึ้น แต่ยังสัมผัสได้ถึงความหลักแหล่มในการเรียบเรียง เช่นความหนาของเสียงร้องตรงท่อน "I Know, I Know..." ที่ทั้งแน่นและเนียนจริงๆ ...ใส่หูฟังดีๆฟังซ้ำๆยิ่งมีอะไรให้ค้นหา
สิ่งนึงที่มันจะถูกมองข้าม คือ เนื้อเพลงของเขา... ซึ่งผมว่าเพลงนี้ มีเนื้อที่เหงาๆขรึมๆลุ่มลึกๆดี (แม้จะไม่รู้ว่า Jettyคืออะไร) เกี่ยวกับตั้งคำถาม "Didn't We Have A Good Time" และตอบคำถามตัวเองซ้ำๆ คล้ายกับระลึกความหลัง...หลอกตัวเอง...ถวิลหา...
mp3:: Panda Bear: "Last Night at the Jetty" (via)
TRACK | Tecla: "Rollercoasters In Woods (Brothertiger Remix)" (2011)
Tecla: "Rollercoasters In Woods (Brothertiger Remix)"
from Strangers Revisited (2011)
Strangers Revisited คืออัลบัมที่รีมิกซ์อัลบัมStranger อัลบัมเดบิวของศิลปินนาม Tecla(ผู้หญิงในรูป) ซึ่งผมไม่เคยฟัง(อ้าว) ส่วนBrothertiger(ผู้ชายในรูป) เป็นศิลปินอิเล็กโทรนิคตื่ดๆที่ผมได้ยินชื่อมาหลายครั้งตลอดปีที่แล้ว (ลองเช็คดู ที่นี่และที่นี่) ก็แอบชอบไอ้อารมณ์teenๆ80sๆแบบlaptopๆของงานเขาอยู่
ไอ้ความที่ไม่เคยฟังต้นฉบับ(หาในเน็ตไม่เจอด้วย) เลยไม่แน่ใจว่าเสียงร้องโดนปรับไปมาน้อยแค่ไหน แต่พอจะเดาได้ว่าคงโดนปรับพอตัว เพราะมันช่างบีบ ดูแหลมๆแบนๆผิดปกติอย่างกับเสียงเด็ก แต่ก็เก๋ๆดี เข้ากับคอร์ดซินธ์แสนง่ายที่ไหลไปเรื่อย เป็นแทร็คที่แสนเพลิน และ ฟังดูง่ายๆไร้เดียงสาแต่ก็มีลีลาเซ็กซี่ยั่วยวนแบบแปลกๆ
mp3:: TECLA – Rollercoasters In Woods (Brothertiger Remix) (via)
12 February 2011
TRACK | Micachu & The Shapes: "Everything" (2011)
Micachu & The Shapes: "Everything"
from Chopped and Screwed (2011)
หลังจากอัลบัมโคตรเยี่ยมจากปี2009นามJewelly ...Micachuและสหายกลับมาแล้ว -- Micachuคือศิลปินที่งานท้าทายหูได้อย่างบันเทิงใจนัก งานของพวกเขาคือคำจำกัดการความของคำว่าเพี้ยนที่ดีจริงๆ ไม่ใช่ในเชิง'เฮ้ยไอ้พวกนี้แม่งเพี้ยนวะ' แต่ในเชิง 'เฮ้ย...กูว่ามันตั้งสายกีต้าร์เพี้ยนวะ!' ...เอาแค่ว่าเครื่องดนตรีที่ใช้เล่นก็สร้างเอง -- แต่งตำรา คอร์ด โน๊ต เสกล บ้าๆบอๆเองเลยว่างั้น ฉะนั้นเตรียมพบกับเสียงเพี้ยนๆ ไว้ได้เลย
กลับมาครั้งนี้Micachuแท็คทีมกับวงออสเครตร้าThe London Sinfonietta ...เด็กนอกตำรา ปะทะ เด็กในตำราจังๆ อะไรจะเกิดขึ้นละ...ความเจ๋งไงเล่า -- Everythingคือเพลงแรกที่ปล่อยออกโปรโมตและขอบอกว่าเพี้ยนสะเดิดเนิร์ดสนุกจิตเหลือเกิน คอร์ดหลุดๆการเครื่องสายที่ระบุชื่อไม่ได้ สู้กับกลุ่มเครื่องสายมาตรฐานที่พยายามบรรเลงสู้ แต่ไปๆมาๆกอดรวมกันเป็นก้อนแห่งเสียงแซ่บๆ โอ้ย...มันส์
mp3:: Micachu & The Shapes – Everything
ปล. ดูสารคดีเบื้องหลังการทำงานกับ The London Sinfonietta ที่นี่
Labels:
documentary,
Micachu,
Micachu and The Shapes,
Track Reviews
11 February 2011
LIVE | Local Natives: "Who Knows Who Cares (A Take Away Show)" (2011)
Local Natives: "Who Knows Who Cares (A Take Away Show)"
Originally from 'Gorilla Manor' (2010)
[A Take Away Show, 2011]
A Take Away Show เจ้าเก่าเอาอีกแล้ว...จับเอาLocal Nativesเล่น'Who Knows Who Cares'...หนึ่งเพลงแห่งปี2010 จากหนึ่งในอัลบัมแห่งปี2010 ...ในmallหรืออะไรซักอย่างในฝรั่งเศส ซึ่งเรื่องพลังการเล่นสดไม่ต้องเป็นห่วงอยู่แล้ว Local Nativesเป็นหนึ่งในวงร็อคอินดี้ร่วมสมัยที่เล่นและร้องได้โคตรปึก ระดับย้อนเวลาไปทัวร์ร่วมกับร็อคยุค70sได้สบายๆ คราวนี้ยิ่งได้เสียงก้องๆของhallwayมาเสริมความอลังการเข้าไปอีก...ต้องดูๆ
10 February 2011
TRACK | James Blake: "A Case of You (Joni Mitchell Cover)" (2011)
James Blake: "A Case of You (Joni Mitchell Cover)"
from Live at BBC 1 (2011)
James Blakeครับ...ด้วยความเคารพ เอ็งเป็นใครครับ? ปีที่แล้วเอ็งคือสุดยอดดีเจdubstepสุดล้ำที่ปล่อยEPโคตรเทพออกมาถึง3ชุด อยู่ๆปลายปีก็จับเปียโนมาcoverเพลงของFeist...ยังไม่พอ...ร้องเพลงเองด้วย...แถม...เสียงดีเหี้ยๆอีก -- เฮ้ย...'ดีเจที่ร้องเพลงเพราะ' นั่นเรียกว่าperfectเลยได้ไหม? แล้วอัลบัมJames Blakeของท่าน(ที่หลุดมาให้โหลดในเน็ต)ก็จองตำแหน่งอัลบัมแห่งปี2011ไปแล้วตั้งแต่ยังไม่จบปี2010 มันยุติธรรมไหม?
แล้วอยู่ๆก็ไปเล่นสดในรายการของBBC 1 ...เล่นเพลงของ Joni Mitchell ด้วยเปียโนตัวเดียวบวกเสียงร้อง...ขออภัยอีกครั้ง แม่งโคตรเพราะเลยวะ โคตรเพราะ เล่นเปียโนได้เนียนลื่นมาก ร้องได้อารมณ์เหี้ยๆ ...James Blake...ข้าพเจ้าขอคารวะท่าน
ปล. หาโหลดได้ที่นี่
ปล. ฟังรายการวิทยุทั้งรายการทีนี่
ปล. จำเพลง The Wilhelm Scream ได้ไหม?...จริงๆมันเป็นเพลงcoverนะ
ปล. อัพเดตเพิ่มว่า The Wilhelm Scream เป็นการดัดแปลงเพลงของJames Litherland ชื่อ Where to Turn ซึ่ง...คือพ่อของ James Blakeครับท่าน! นอกจากหูเทพ มิกซ์เทพ เสียงเทพ ยังพ่อสุดเก๋าอีกต่างหาก
Labels:
cover,
James Blake,
Joni Mitchell,
live,
Track Reviews
TRACK | The Strokes: "Under Cover of Darkness" (2011)
The Strokes: "Under Cover of Darkness"
from Angles (2011)
ตั้งแต่The Strokesออกอัลบัมที่ยอดเยี่ยมที่สุดแห่งยุค2000sในปี 2001...(สำหรับผม)พวกเขายังไม่เคยกลับสู่จุดนั้นได้อีกเลย มีชุดสองที่เสมอตัว ชุดสามที่ก้ำกึ่งๆ งานเดี่ยวของJulianที่ไม่ได้น่าจดจำอะไร.... -- ดังนั้นการเจอข่าวชุดใหม่ของThe Strokes ผมเลยไม่ตื่นเต้นเท่าที่ควร พวกกับประสบการณ์แย่ๆที่ต้องเจอวงที่ 'เล่นสไตล์The Strokes' ห่วยๆมากมายที่ออกมาอย่างน่าเบื่อหน่ายตลอดสิบกว่าปีนี้(โดยเฉพาะในประเทศแถวนี้) ทำให้กลายเป็นอคติที่ไม่ยุติธรรมนักในใจผม
โอเค...ซิงเกิ้ลล่าสุดออกมาละ Under Cover of Darkness (หาฟังได้ที่นี่ หรือ searchที่นี่)
ฟังจบละ...มันฟังดู...เชย มันโอเค มันติดหูนะ แต่มันเป็นภาษาที่ไม่ได้ใหม่อะไร คล้ายๆกับเป็นผลงานของวงที่'เล่นสไตล์The Strokes'ที่ใช้ได้ทีเดียว ...แต่นี่มันThe Strokesตัวจริงนะเฟ้ย!!! จบ!
08 February 2011
LIVE | Stars: "Your Ex-Lover is Dead (A Take Away Show)" (2011)
Stars: "Your Ex-Lover is Dead (A Take Away Show)"
Originally from 'Set Yourself on Fire' (2005)
[ A Take Away Show, 2011]
พวกท่านรู้ใช่ไหมว่า Your Ex-Lover is Dead คือหนึ่งในเพลงที่ยอดเยี่ยมที่สุดในชีวิตการฟังเพลงของข้าพเจ้า? เพลงนี้ทำให้ผมสุข เศร้า ยิ้ม น้ำตาซึม ถอนหายใจ ถวิลหา มีความหวัง ท้อแท้...และอื่นๆอีกมากมาย ในระดับที่น้อยเพลงนักจะทำได้ ...พูดอย่างตรงไปตรงมา ผมไม่ใช่แฟนวงStarsด้วยซ้ำ แต่ Your Ex-Lover is Dead เพลงนี้เพลงเดียว มีความพิเศษ...พิเศษมาก
ทีมงานแห่ง A Take Away Showเอง ก็รู้สึกไม่ต่างจะผม เขาเขียนในblogว่าเขาหวังอย่างยิ่งว่าStarsจะเล่น Your Ex-Lover is Dead และเมื่อได้มีโอกาสฟังมันสดๆจริงๆ ก็"That’s when I knew that this night was going to be special."
DOCUMENTARY | LUNICE : The Stacker Upper (2011)
LUNICE : The Stacker Upper
[by SHOT BY JFK]
มีวีดีโอน่าสนใจมาแนะนำ... เป็นสารคดีสั้นเกี่ยวกับ Lunice ดีเจจากMontreal โดยสารคดีใช้ภาพฟุตเตจคอนเสิร์ตIgloofest ที่ Montreal ตัดสลับกับบทสัมภาษณ์ที่เขาเล่าถึงอิทธิพลของการเป็นนักเต้นเบรคแด๊นซ์ก่อนมาเป็นดีเจ การตอบสนองกับผู้ชมขณะแสดงสด การผสมผสานดนตรีแร็ปตลาด กับ อิเล็กโทรนิคทดลอง ออกเป็นซาวน์เฉพาะตัว ...น่าสนใจๆ...แนะนำๆ
TRACK | Dirty Beaches: "Lord Knows Best" / "True Blue" (2011)
Dirty Beaches: "Lord Know Best"
Dirty Beaches: "True Blue"
from Badlands (2011)
งานของ Dirty Beaches คืองานlo-fiแนวๆ ที่มิได้รู้สึกถึงความสามารถทางการเล่น/แต่งดนตรีมากมายอะไร ไม่ได้มีความปราณีตของโปรดักชั่นเลย มันถูกออกแบบมาให้ฟังผ่านหูฟังมากกว่าเครื่องเสียงชั้นดี แต่มันมีอะไรบางอย่างมากกว่านั้น ที่ทำให้การฟังเพลงนี้ในเวลาที่เหมาะสม อารมณ์ที่เหมาะสม เป็นประสบการณ์ที่น่าจดจำ ...อาจมาจากการวกวนวนเวียนซ้ำไปซ้ำมาของคอร์ดอูอี้ราวกับแผ่นเสียงตกร่อง สร้างกำแพงของบรรยากาศถวิลหาเป็นภาพคล้ายกลุ่มควันที่ฟุ้งกระจายหมุนช้าๆราวกับภาพslowmotion โดยมีเสียงร้องอู้อี้พยายามลอยผ่านออกมา ชวนนึกถึงเสียงผ่านวิทยุของเพลงและศิลปินนิรนามที่เราไม่คิดจะจำชื่อพวกเขา แต่กลับค้างอยู่ในความทรงจำตลอดกาล
ปล เสียงลูปของ Lord Knows Bestนั้นแซมป์จากเพลง Voila (1967) ของ Francoise Hardy
ปล รูปของบนคือรูปพ่อและแม่ ของ Alex Zhang Hungtai หรือ Dirty Beachesนี่แหละ ซึ่งถูกใช้เป็นปกEP
mp3:: Dirty Beaches: "Lord Knows Best"(via)
06 February 2011
TRACK | Gil Scott-Heron and Jamie xx: "I'll Take Care Of U" (2011)
Gil Scott-Heron and Jamie xx: "I'll Take Care Of U"
From We're New Here (2011)
ความเห็นในyoutubeพูดถูกเหลือเกิน...ถ้าJamie xx มีโอกาสได้remixโลกใบนี้ โลกเราคงไม่มีสงคราม เขาคงบิดเส้นแบ่งดินแดนระหว่างประเทศบางประเทศให้บางจนกลายเป็นริฟท์เก๋ๆ แล้วปรับpitchปรับspeedออกมาเป็นbeatจ๊าบๆ ปรับเอาภัยธรรมชาติและความหิวโหยเป็นคอร์ดเจ๋งๆ -- ถ้านั่นฟังดูเวอร์เกินไป... Jamie xx มาremixชีวิตผมหน่อยก็ดี รู้สึกไร้ชีวิตชีวาเหลือเกินช่วงนี้ ช่วยลดspeedความทุกข์และtransposeความทรมานของการรอคอยออกไปหน่อย (แปลว่าอะไรวะนั่น ๕๕๕)
I'll Take Care Of U คือตัวอย่างที่สุดยอดของการ'สร้างเพลงด้วยเพลง' เพราะต้นฉบับก็เป็นเพลงที่สมบูรณ์อยู่แล้ว Jamie xxและหูเทพๆของเขา สามารถหยิบจับองค์ประกอบในเพลง ผสมผสานกับเสียงจากโน้นนิดนี่หน่อย ปั้นแต่งเป็นงานดนตรีเต้นรำที่เท่ห์โคตร -- ขอคารวะการจับเสียงเอื้อย "Ah-ha-haa-ha" มาจัดวางบนbeatเก๋าๆในท่อนแยก ...แม่ง คิดได้ยังไงวะ!
มาคิดๆดูแล้ว Gil Scott-Heron และ Jamie xx แทบจะเป็นคู่ที่ฟังดูมาจากคนละโลกเลยนะ ...ศิลปินกวีรุ่นใหญ่ชาวอเมริกาผิวดำ และ ไอ้หนุ่มละอ่อนเทคโนจากลอนดอน ...นี่แหละ เสน่ห์ของการรีมิกซ์
ยิ่งทำให้ผมเชื่อว่าอัลบัม We're New Here จะต้องออกเป็นอัลบัมที่เจ๋งมากๆแน่ๆ
ปล อ่านบทสัมภาษณ์ของ Jamie xx ที่นี่
ปล ฟังงารremix ของ Adele ได้ที่นี่
TRACK | Sea Pinks: "Peripheral Vision" (2011)
Sea Pinks: "Peripheral Vision"
from Peripheral Vision (2011)
ครั้งแรกที่ฟังงานของ Sea Pink มั่นใจว่าเป็นวงอินดี้อเมริกันชัวร์ เพราะพักหลังๆวงเมกันออกแนวนี้ก็เยอะ (แนวกีต้าร์ไฟฟ้าเปลือยๆ โลว์ๆ ตีคอร์ดก๊องแก๊ง อัดเสียงดิบๆ กลองดิบๆมันส์ๆสะใจๆ) เช่น Ducktails หรือ Crystal Stilts อะไรพวกนั้น แต่จริงๆ Sea Pinkเป็นงานเดี่ยวของสมาชิกวงnoise popจากBelfastโน้น
จริงๆแอบติดใจเพลง Japanese Knotweed ตั้งแต่ปีที่แล้วละ แต่ยังไม่ฟันธงว่าชอบหรือไม่ จนเจอแทร็คนี้แหละค่อยมั่นใจ -- Peripheral Vision เป็นเพลงที่จังหวะโจ๊ะๆสดใส(ใต้กลองและเบสหนาๆอ้วนๆที่ให้อารมณ์รั่วๆกับเพลงได้ดีนัก) เนื้อหนังของดนตรีดูเบาโหวงเหมือนยังทำไม่เสร็จ แต่นั่นก็ทำให้มันฟังดูผ่อนคลายดี
05 February 2011
TRACK | Kanye West: "Monster (featuring Nicki Minaj, Jay-Z, Rick Ross and Bon Iver)" (2010)
Kanye West: "Monster"
(featuring Nicki Minaj, Jay-Z, Rick Ross and Bon Iver)
from My Beautiful Dark Twisted Fantasy (2010)
รูปข้างบนคือ รูปของ Nicki Minaj ผู้ร่วมแร็ปในท่อนสุดท้ายของMonster ซึ่งในความเห็นผม(และคนฟังเพลงอีกมากมายทั่วโลก)เห็นว่าเป็นหนึ่งในท่อนแร็ปที่จ๊าบที่สุดในจักรวาล! แต่ก่อนจะพูดถึงท่อนนั้น ลองไล่ฟังเพลงมหากาพย์เพลงนี้ตั้งแต่ต้นกัน
Monsterเปิดฉากด้วยท่อนร้องBon Iver ศิลปินอินดี้โฟล์คที่ดูอยู่ผิดที่ผิดทาง(ฮา) และการแร็ปสั้นๆของ Rick Rossที่เหมือนเป็นน้ำจิ้มมากกว่าจะมีอะไรให้พูดถึงมากมาย -- ขอข้ามไป
"The best living or dead hands down, huh?/ Less talk, more head right now, huh?/ And my eyes more red than the devil is /And I'm 'bout to take it to another level, bitch"
ท่อนของ Kanye West ทำหน้าที่ได้สมความคาดหวัง มันเต็มไปด้วยการระบายความคับแค้นใจส่วนตัว ในฐานะที่ต้องรับบทเป็นKanye Wesสุดยอดassholeของยุคสมัย ("Gossip gossip. Niggas just stop. it Everybody know I'm a muthafucking monster") เต็มไปด้วยอารมณ์ขันแสบๆด้วยอารมณ์ไม่แยเส ("Know that muthafucker well, what you gon' do now? Whatever I wanna do, gosh! It's cool now") เลยไปถึงการกวนตีนมันส์ๆ ("Have you ever had sex with a Pharaoh? I put the pussy in a sarcophagus")
ท่อนของ Jay-Z ผมค่อนข้างผิดหวังนิดๆ Jay-Zเลือกที่จะเล่นประเด็นMonsterไปในเชิงปรัชญา การสำนึกผิด การถูกหลอกหลอนจากความสำเร็จและความรวย ("I still hear fiends scream in my dreams") อดีตที่เขาจากมา ("Rape and pillage a village, women and children") โหยหาความรัก ("Love I don't get enough of it") สำนึกถึงความว่างเปล่าของการมีทุกอย่างในมือ ("All I get is these vampires and blood suckers. All I see is these niggas I made millionaires") ซึ่ง....มัน...เอ่อ...จั๊กกะจี้ และ น่าอึดอัดชะมัด ที่ต้องมาฟังคนรวยๆบ่นถึงความลำบากของการเป็นเศรษฐี
และแล้วก็มาถึง...หนึ่งในการแร็ปที่ยอดเยี่ยมที่สุดในรอบหลายปีหลังของชีวิตการฟังเพลงของข้าพเจ้า ผลงานของNicki Minajในเพลงนี้เป็นงานระดับmasterpieceที่สมควรพูดยกย่องและพูดถึงอย่างยิ่ง ทั้งเนื้อร้อง และ วิธีที่เธอพ่นคำออกมา มันช่าง...หาคำบรรยายที่เหมาะสมไม่ได้จริงๆ
Minaj เปิดฉากคล้ายการแนะนำตัวกลายๆ ไม่ว่าจะเรียกตัวเองว่า "a bad bitch that came from Sri Lanka" หรือ "You could be the King but watch the Queen conquer" เรียกได้ว่านำเสนอความเป็นแร็ปเปอร์เพศหญิงอย่างตรงไปตรงมา ใช้ทั้งคำว่า'Bitch' และ 'Queen'
Minajเริ่มข่มขวัญเราด้วยภาษา'Monster'ๆ ไม่ว่าการขู่จะไล่ขย้ำแดกสมองเราด้วยฟันและเขี้ยวทองคำ ก่อนขยับไปสู่อะไรที่เป็นในเชิงสัญลักษณ์มากขึ้น เธอเริ่มอ้างถึง "Hairdresser from Milan" และ " Giuseppe heel" ซึ่งสะท้อนความฟุ้งเฟ้อของสังคมซูเปอร์สตาร์ที่ต้องใช้แต่ของมีชื่อ แต่Minajหาได้สำนึกหรือสั่งสอนพวกเรา เธอพ่นคำใส่เราด้วยความยโส และ เหยียดหยาม "And if I'm fake I ain't notice cuz my money ain't" เหมือนหยามเราว่า....ถึงกูแม่งจะเฟค...เงินกูแท้วะ(สัด) "But my features and my shows ten times your pay?" กูหาเงินได้10เท่าของเงินเดือนมึงวะ(สัด) "But really, really I don't give a F-U-C-K" ...เหอะไอ้พวกกระจอก กูไม่แคร์วะ(สัด)
ท่อนสุดท้ายเธอตอกหน้าเราด้วย "Pink wig, thick ass, give 'em whip lash" สุดท้ายพวกเรา(ผู้ฟัง...ผู้บริโภค)ก็เป็นทาสของความยั่วยวนฉาบฉวยของโลกบันเทิงเหมือนกัน แค่เจอ วิกผมสีชมพูแป๋นๆ การโชว์ตูดฟิตๆ ก็โดนสะกดกันซะเชื่องแล้ว "I think big, get cash, make 'em blink fast" ...กูอ่านขาด งั่งๆอย่างพวกเธอตามเกมส์ไม่ทันแค่กระพริบตาเดียวก็เสร็จกู
พวกเอ็งๆทั้งหลายว่ากูเป็นปีศาจ มึงก็ขาดกูไม่ได้ (This is what you live for)...แล้ว Minajก็คำรามเป็นครั้งสุดท้าย "Aaahhhh, I'm a motherfucking monster!"
ป.ล. อ่านเนื้อที่นี่
ป.ล. ฟังเพลง ที่นี่
Labels:
Bon Iver,
Jay Z,
Kanye West,
Nicki Minaj,
Rick Ross,
Track Reviews
PLAYLIST70
Dirty Beaches: "Sweet 17" (via)
La Femme - La Femme Ressort ♥
Pinkshinyultrablast - blaster
RAMESH - The king
The Feelies: "Should Be Gone" (via)
Sea Pinks – Peripheral Vision (via) ♥
Cloud Nothings, 'Understand at All' (via)
Young Galaxy :: We Have Everything (via)
Cass McCombs - County Line ♥♥
Fleet Foxes - Helplessness Blues (via) ♥
Iron and Wine - Tree by the river (live) ♥
Patrick Wolf: "The City" ♥
Lord Huron - "The Stranger" ♥
High Highs - Flowers Bloom (via)
Danielson - People's Partay
click 'like' on facebook:
http://www.facebook.com/GISGISGISblog
LIVE | Javelin: "C-Town" and "Mossy Woodland"
Javelin: "C-Town" and "Mossy Woodland"
from No Mas (2010)
Dublab VisionVersion(2011)
Javelin เป็นวงอิเล็คโทรนิคที่ใช้การแซมป์เสียงเป็นหลักในการสร้างดนตรี โดยมักจะใช้อุปกรณ์แบบlo-fi ใช้เครื่องเล่นเทปบ้าง ใช้เครื่องมืออะไรที่เนิร์ดๆ -- ดังนั้นการเล่นสดของพวกเขาก็มักออกมาเป็น หนึ่งหนุ่มร้องใส่ไมค์ อีกหนึ่งหนุ่มกดโน้นกดนี่ ไม่ก็ตีแป้นกลองไฟฟ้า งานอาจกรอยได้...กลุ่มDublabเลยจับพวกเขาไปเล่นโรงละครหุ่นเชิดซะเลย...ไหนๆก็เต็มไปด้วยเสียงที่'ไม่จริง'อยู่แล้ว มันก็ควรจะถูกร้องด้วยคนปลอมๆดูบ้างซะ -- เป็นวีดีโอที่เก๋ไก๋น่าสนใจมาก คล้ายสารคดีผสมการแสดงศิลปะเพี้ยนๆ
04 February 2011
TRACK | Cass McCombs: "County Line" (2011)
Cass McCombs: "County Line"
from WIT'S END (2011)
ช่วงหลายวันที่ผ่านมา ผมไม่สามารถลบเมโลดี้เอื่อยเฉื่อย-สำเนียงคันทรีเชยๆของเพลง 'County Line' ออกจากหัวได้เลย ราวกับเสียงแผ่นเสียงจากความทรงจำของอัลบัมจากยุค70sที่พ่อฟัง พวก James Taylor...The Eagles... แทบจะเห็นภาพชานเมืองอเมริกันผ่านฟิล์ม16มม. ปรับโฟกัสไปที่ชื่อเมือง ยินดีต้อนรับสู่เมืองจุดจุดจุด มันคือ...County Line
County Lineคือเพลงเศร้า...มันคือการกลับไปหาหัวใจที่แตกสลาย ในที่นี้คือการกลับสู่เมือง(บ้านเกิด? รักครั้งแรก?) ผ่านเสียงร้องของCass McCombs ที่ช่างแสนปวดร้าวจนบางท่อนฟังดูราวกับเขากำลังกลั้นน้ำตารำพันถึงอดีตที่หลอกหลอนแม้จะพยายามลืมเท่าไร -- เขาฮัม 'ดั่ม ดั่ม ดั่ม ด่ำ ดำ...' ราวกับเสียงเต้นของหัวใจที่อ่อนแรง หรือ เสียงก้าวที่ย่ำช้าๆสู่ County Line
"You never even tried to love me / What did I have to do to make you want me? / I feel so blind / I can’t make out the passing road signs / All that you would have me do is cross that county line."
ขอถอนหายใจยาวๆซะเฮือกก่อนละ....เฮ้อ
NEWS | The White Stripes Break Up
หลายท่านคงทราบข่าวแล้วว่า The White Stripes หนึ่งในวงดนตรีที่ทรงอิทธิพลที่สุดวงหนึ่งแห่งยุค00s ได้ประกาศยุบวงลงแล้ว ข้อความด้านลงคือคำแปลภาษาไทยของคำแถลงการณ์ของพวกเขาในเว็ปไซต์ whitestripes.com
"The White Stripes ขอประกาศว่า วันนี้ (2 กุมภาพันธ์ 2011) วงThe White Stripesได้จบลงอย่างเป็นทางการ และจะไม่มีการบันทึกเพลงใหม่หรืองานแสดงสดใดๆอีกต่อแล้ว
เหตุผลนั้นมิได้มาจากการหมดไฟที่จะทำงานต่อหรือเหตุผลด้านสุขภาพใดๆ ทั้งMeg และ Jack มีสุขภาพกายและใจที่ดีอยู่ ท่ามกลางเหตุผลหลายๆอย่างนั้น...เหนือสิ่งอื่นใดมันคือความต้องการที่จะรักษาสิ่งที่พิเศษและสวยงามของวงให้คงอยู่ไว้ตลอดกาล
Jack และ Meg ขอขอบคุณแฟนและสาวกสำหรับการให้การสนับสนุนอย่างสุดยอดตลอดกว่า13ปีที่เข้มข้นและแสนวิเศษของชีวิตศิลปินของThe White Stripes
ซึ่งหลังจากนี้Third Man Recordsจะยังคงเดินหน้าปล่อยผลงานบันทึกการแสดงสด และ งานสตูดิโอที่ไม่เคยเผยแพร่ที่ไหนมาก่อนออกมา
Meg และ Jack หวังว่าการตัดสินใจนี้จะไม่สร้างความเศร้าโศกให้แก่แฟนๆ หากแต่หวังว่ามันจะถูกมองในแง่ดีว่านี่เป็นการตัดสินใจบนพื้นฐานของความเคารพต่อดนตรีที่วงได้สร้างขึ้น และยังเป็นความเคารพอย่างสุดซึ้งต่อแฟน ผู้ถือว่ามีส่วนร่วมต่อการสร้างสรรค์ผลงานเหล่านั้นด้วยหัวใจที่ทุ่มเทมอบมาให้
ทั้งหมดที่กล่าวมานั้น ทางวงอยากจะบอกว่า
"The White Stripes ไม่ได้เป็นของ Jack และ Meg อีกต่อไปแล้ว The White Stripesเป็นของคุณทุกคน และ คุณสามารถทำอะไรกับมันก็ได้ตามใจปรารถณา นี่แหละคือความงามของศิลปะ และ ดนตรี....มันสามารถเป็นอมตะตลอดกาล...ถ้าคนยังให้มันเป็น ขอบคุณสำหรับประสบการณ์ทั้งหมดที่ร่วมกันมา สิ่งที่คุณมอบให้มาจะไม่มีวันจางหายจากพวกเรา และ พวกเราขอขอบคุณอย่างสุดซึ้ง"
ด้วยความจริงใจ
Meg และ Jack White
The White Stripes "
ความรู้สึกแรกของผมต่อข่าวนี้คือ ใจหาย -- โดยเฉพาะ 4 อัลบัมแรกของพวกเขา ทั้งหมดมีอิทธิพลต่อชีวิตการฟังเพลงช่วงต้นยุค00sของผมมากและถึงทุกวันนี้ก็ยังไม่มีวงที่เหมือนThe White Stripes ทั้งแง่ดนตรี...พลัง...อิทธิพลต่อpop culture..รวมไปถึงความสำเร็จด้านรายได้ ชื่อเสียง รางวัล
The White Stripesเลือกที่จะจบตัวเองลงในขณะที่มีcatalogueที่แข็งแรง 6อัลบัมที่ยอดเยี่ยม วีดีโอแสดงสดยอดเยี่ยมมากมาย รวมถึงมิวสิควีดีโอเจ๋งๆอีกมากมาย ทั้งหมดจะถูกเก็บเข้าสู่คลังแห่งประวัติศาสตร์ของRock and Roll ให้เด็กรุ่นหลังได้ระลึกว่าครั้งหนึ่งเคยมีสองพี่น้องออกมาอาละวาดลวดลายบลูส์พังค์ดิบๆเจ๋งๆเก๋ๆบนโลกใบนี้-- ข้าพเจ้านับถือและขอบคุณสำหรับผลงานของพวกท่าน ไว้แก่ตัวก็ออกมาreunionหาตังค์ได้นะ
TRACK | Creep: "Days (Feat. Romy Madley Croft)" (2011)
Creep: "Days (Feat. Romy Madley Croft)"
from Single (2011)
Creep คือดูโออิเล็กโทรนิคมีสมาชิกคือ Lauren Flaxและ Lauren Dillard ...ผู้ใช้เสียงสังเคราะห์ในการสรรค์สร้างบรรยากาศมืดหม่น วังเวง ไม่น่าไว้ใจ ฟังแล้วจินตนาการถึงโลกอนาคตที่แสนหดหู่ เหมือนเก็บตัวอยู่ในความมืดคนเดียวในบ้านสไตล์โกธิค เอี่ยหูฟังเสียงต้นไม้ถูกลมตีผสมกับเสียงรถรายวดยานและเสียงหึ่มๆของดนตรีกลางคืน แล้วจินตนการถึงภูตผี วิญญาณ -- การเลือก Romy แห่งวง The xx มาเป็นเจ้าของเสียงร้องเพลงนี้ ก็เหมาะสมเหลือเกิน คิดดู...อะไรจะเหมาะกับธีมหม่นๆอย่างนี้ เท่าเสีงของสมาชิกวงดนตรีที่ใส่ชุดดำตลอดเวลา ร้องด้วยเสียงอมทุกข์ และ ไม่เคยยิ้ม
02 February 2011
TRACK | Patrick Wolf: "The City" (2011)
Patrick Wolf: "The City"
from Lupercalia (2011)
"Won't let the city destroy our love!" ช่างเป็นคำที่ให้กำลังใจเหลือเกิน ยิ่งถูกร้องออกมาใต้จังหวะตูมตามของเปียโน เครื่องเป่า กลองสนั่นๆ ...ไหนจะเสียงปรบมือ ดีดนิ้ว...นี่ยังไม่นับloopเสียงซ้ำๆ"Won't let the city..."ตอนต้นเพลง ที่น่ารักทะลึ่งเป็นบ้า -- ทั้งหมดทำหน้าที่เร้าอารมณ์และกระตุ้นต่อมมองโลกในแง่ดีของใครต่อใครพุ่งพล่านอย่างอดไม่ได้ -- อืม...บางครั้งคนเราต้องการซาวน์แทร็คของด้านสว่างของชีวิตบ้าง และเพลงนี้ก็captureจังหวะแห่งความสุขของชีวิตได้ดีเยี่ยมนัก ฟังแล้วรู้สึกว่า ชีวิตคือปาร์ตี้ ชายหาด ความรักของหนุ่มสาวไร้ขอบเขต ไร้เพศ ไร้เชื้อชาติ ไร้กฏ และ ไม่มีวันตาย เย้!
01 February 2011
TRACK | Women: "Penal Colony" (2010)
Women: "Penal Colony"
from Public Strain (2010)
ผมโคตรชอบอัลบัม Public Strain... มันอยู่ในtop tenอัลบัมโปรดของปีที่แล้วเลยแหละ -- Womenเป็นวงอินดี้ร็อค/กีต้าร์ร็อคดิบที่เล่นกับอารมณ์ไซคีเดลิค...เล่นกับอารมณ์ambient ได้เก๋าดี มันเมาๆมึนๆลอยๆสะใจดี -- Penal Colony น่าจะเป็นแทร็คที่'ยานคาง'ที่สุดของอัลบัมฟุ้งๆอัลบัมนี้ และกลายเป็นแทร็คโปรดไปซะงั้น ...ดนตรีที่ดำเนินไปราวกับถูกลดspeedลง50% เบสๆมีหนาหนักอึ่ง กีต้าร์ที่ถูกกรีดซ้ำๆช้าๆทีละสายอย่างเจ็บปวด เสียร้องที่เหมือนคนเพ้อมึนเมา เนื้่อหาที่เล่าถึงการถูกทำลายของจิตวิญญาณ (Faces star to blend/Meets a sudden end/And you're gone completely) ยิ่งฟังซ้ำยิ่งรู้เหมือนค่อยๆจมลงไปสู่ทะเล ก่อนหายไปตลอดกาล
LIVE | We Are Trees: "Sunrise Sunset" (2010)
We Are Trees: "Sunrise Sunset"
from Boyfriend EP (2010)
วีดีโอนี้คงไม่มีพลังพอจะเป็นวีดีโอยอดฮิตแห่งปี (แบบที่ The Morning Benders ทำไว้ได้ในปีที่แล้ว) แต่อย่างน้อยน่าจะทำให้จิตใจหลายๆคนสดชื่นได้บ้างละน่า ...We Are Trees เป็นวงหน้าใหม่ วัยละอ่อน ที่ทำเพลงได้เล่นรื่นรมณ์ อบอวนด้วยความหอม ความหวาน ความเย็นร่มราวกับนอนฟังเสียงน้ำตกซู่ซ่า อดไม่ได้ที่จะนึกถึงวงอย่าง Grizzly Bear หรือแม้แต่ The Morning Benders -- สำหรับผม การแสดงชิ้นนี้ นำเพลงของเขา ข้ามเส้นของดนตรี'แนวๆ'น่ารำคาญ ไปสู่ดนตรี'เก๋ๆเท่ห์ๆ' ได้อย่างพอดิบพอดี
mp3:: We Are Trees: "Sunrise Sunset" (via)
TRACK | La Femme: "La Femme Ressort" (2011)
La Femme: "La Femme Ressort"
from Le Podium #1/ La Femme (2011)
ประมาณกลางปีที่แล้ว ผมได้ถูกแนะนำให้รู้จักกับวีดีโอเพลง Telegraphe ของวงดนตรีการาจจิ๊กโก๋60s จากฝรั่งเศสนาม La Femme รู้สึกประทับใจกับซาวน์ที่เก๋าๆแบบหาเรื่องสุดๆ กีต้าร์ไฟฟ้าเปลือยๆ ริฟท์น้อยๆ ดิบๆ ซินธ์บางๆ เดินขับเคลื่อนเพลงแบบไม่กลัวใคร ราวกับซาวน์แทร็คที่สูญหายของภาพยนตร์French New Waveซักเรื่อง
มาปีนี้ La Femme เริ่มมีชื่อถึงขั้นออกทัวร์อเมริกาแล้ว ...ทำให้ต้องแบ่งเวลาฟังไปEPชื่อ Le Podium #1/ La Femme ของพวกเขาบ้างละ --ฟังไปฟังมาโดนใจแทร็คนี้ชะมัด...La Femme Ressort เป็นเพลงที่จังหวะเนิ่บนาบ แต่เชื่อว่าสามารถเต้นตามได้ ไปตามจังหวะกีต้าร์ดิบๆกวนๆ โยกซ้ำไปซ้ำมาด้วยสีหน้าเก็กหล่อเก็กสวยนิ่งๆ ...แสบจริงๆ
ปล. Googleบอกผมว่าLa Femme Ressort แปลว่า Women's Spring...นะ
TRACK | Jamie Woon: "Night Air" (2010)
Jamie Woon: "Night Air"
from Night Air 12" (2010)
นอกจากJames Blakeที่ติดลิสต์ Sound of 2011 ของBBCแล้ว...ศิลปินนามJamie Woon ก็ติดเช่นกัน ตอกย้ำความอยู่ในกระแสของดนตรีR&B และ ดนตรี Soulที่กำลังมีรากฐานแข็งแรงในหมู่คนฟังเพลงนอกกระแส -- Night Airของ Jamie Woon เป็นดนตรีเต้นรำที่มีโทนฟ้าหม่นๆ มืดๆ ลึกลับๆ...เซ็กซี่เย้ายวน ที่บวกกับเสน่ห์ของดนตรีอิเล็กทรอนิค ดนตรีเฮาส์ เท่ห์ๆหล่อๆ ...มีวิธีร้อง วิธีเน้นน้ำหนักเสียงที่ชวนนึกถึงศิลปินR&Bผิวดำ ผสมผสานออกมาแล้วเป็นดนตรีที่ยั่วยวนดีไม่น้อย -- ภาพในจินตนาการขณะฟังเพลงนี้ จะว่าไปก็คล้ายๆกับมิวสิควีดีโอข้างล่างนี้เหมือนกัน...มืดๆ วังเวง ไม่น่าไว้ใจ -- ปี2011นี้มารออัลบัม Moonwriting ของเขากันว่าจะเจ๋งขนาดไหน
ปล. ซาวน์เก๋ๆอย่างนี้ ไม่น่าแปลกใจเลยที่ Burialมีเครดิต co-produced ในแทร็คนี้
Subscribe to:
Posts (Atom)